• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสต์ฟรี โปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

หมอแนะ: เริมที่ริมฝีปาก เป็นแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีก รักษาอย่างไร

Started by napassanun, May 27, 2023, 10:52:32 AM

Previous topic - Next topic

napassanun



'เริมที่ริมฝีปาก' เกิดจากอะไร
เริมที่ปาก หากใครเคยเป็น ก็คงจะทราบกันดีว่าเป็นโรคที่ไม่หายขาด พอเป็นแล้วก็มักจะเป็นซ้ำได้บ่อย ๆ โดยโรคเริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า "Herpes Simplex Virus" ซึ่งเชื้อเริมที่ริมฝีปากนั้นจะเป็นไวรัสคนละสายพันธุ์กับเชื้อเริมที่อวัยวะเพศ การติดต่อของเชื้อเริม โดยส่วนใหญ่มักพบว่า ติดต่อได้จากการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น ผ่านการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรง หรือการสัมผัสทางอ้อม เช่น การใช้หลอดดูดน้ำ แก้วน้ำ ช้อน หรือแม้แต่การรับประทานอาหารร่วมกัน โดยไม่ใช้ช้อนกลาง ก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปากได้

รักษาเริมที่ปาก
การป้องกันการเป็นซ้ำในคนที่เพิ่งเป็นเริมที่ริมฝีปากครั้งแรก พบว่าการใช้ยารับประทานในรูปแบบของ "ยาฆ่าเชื้อไวรัส" สามารถช่วยลดโอกาสการเป็นซ้ำได้ค่อนข้างดี แต่สำหรับในผู้ที่เคยเป็นเริมมาแล้วหลายครั้ง การใช้ยารับประทานเพื่อป้องกันการเป็นซ้ำ อาจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร สิ่งที่สามารถทำได้เพื่อลดโอกาสการเป็นซ้ำของกรณีนี้ คือการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย

การดูแลในเรื่องของอารมณ์ ความเครียด การได้รับสารอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มของวิตามินให้เพียงพอ ก็พบว่าช่วยลดโอกาสการเป็นซ้ำของเริมได้ค่อนข้างดี โดยวิตามินที่มีบทบาทในการช่วยเรื่องของภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรง และลดโอกาสการเป็นซ้ำของเริม ก็คือ วิตามินซี และวิตามินดี

ข้อควรแนะนำจากหมอ
คุณหมอแนะนำว่า ในคนที่เป็นเริมซ้ำบ่อย ๆ ควรที่จะรับประทานวิตามินซี วันละ 1,000 mg เป็นประจำทุกวัน ก็ช่วยในเรื่องของการกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกายให้แข็งแรง ซึ่งนอกจากจะป้องกันการเป็นซ้ำของเริมแล้ว ยังช่วยป้องกันการเป็นหวัดอีกด้วย ในส่วนของวิตามินดี วิธีที่ดีที่สุด คือการที่ร่างกายได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ทุกวัน ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีที่ผิวหนังได้ แต่บางรายที่มีภาวะติดเชื้อง่าย หรือเป็นเริมบ่อย ก็ควรที่จะไปเจาะเลือดเพื่อตรวจเช็กวิตามิน เพราะในบางรายที่มีค่าวิตามินดีต่ำมาก ๆ ก็อาจจำเป็นที่จะต้องให้เสริมในรูปแบบอาหารเสริมร่วมด้วย

napassanun

ทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ลดความอ้วนได้จริงหรือ?

จากการศึกษาพบว่า ตัวไขมัน ที่อยู่ใน "น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น" เป็นไขมันอิ่มตัวที่มีลักษณะโครงสร้าง ที่แตกต่างจากไขมันอิ่มตัวที่พบในไขมันจากสัตว์หรือน้ำมันปาล์ม ไขมันของน้ำมันมะพร้าว จะมีลักษณะของกรดไขมันที่มีความยาวสายขนาดกลาง ซึ่งเจ้าไขมันตัวนี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เมื่อเรารับประทานกรดไขมันขนาดกลางนี้เข้าไป ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ทันที ส่งผ่านไปที่ตับ ซึ่งตับจะทำการเปลี่ยนกรดไขมันเหล่านี้เป็น "สารคีโตน" ซึ่งเป็นสารที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ โรคอัลไซเมอร์ และช่วยในเรื่องของสมาธิได้เป็นอย่างดี



จะทานน้ำมันมะพร้าวเช่นจึงจะเหมาะสม
การรับประทานน้ำมันมะพร้าว ควรรับประทานในขณะที่ท้องว่าง เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน โดยปริมาณที่แนะนำในการรับประทานคือ 2 ช้อนโต๊ะ/วัน หากใช้ในกรณี อม-กลั้ว ในช่องปาก แนะนำให้ใช้ปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยอม-กลั้วในช่องปาก 15-20 นาที จึงค่อยบ้วนทิ้ง แล้วแปรงฟันตามอีกทีค่ะ